จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

แนะนำตัวเจ้าของ Blog


ชื่อ : นายธิษณะ จงเจษฎ์
ชื่อเล่น : ธี
ภูมิลำเนา : อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ
จบการศึกษาจาก : โรงเรียนเทพศิรินทร์ร่มเกล้า กทมฯ
ปัจจุบันกำลังศึกษาที่ : มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร คณะวิทยาลัยการฝึกหัดครู สาขาคณิตศาสตร์

วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Apple เปิดตัว iOS6 ในงาน WWDC2012 
พร้อมความสามารถใหม่

 
จากข่าวก่อนหน้านี้เป็นที่แน่ชัดว่า WWDC 2012 นี้จะมีการเปิดตัว iOS6 นี้อย่างแน่นอน แสดง ว่าต้องมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในอนาคตสำหรับ อุปกรณ์ iOS อย่าง iPhone , iPod Touch และ iPad นี้ เลยมาดูกันว่าความสามารถที่เพิ่มขึ้นจะมีอะไรบ้าง ซึ่งฟีเจอร์นี้ก็จะรวมไปถึงอนาคตผลิตภัณฑ์ใหม่ที่คุณรอคอยอย่าง iPhone รุ่นใหม่และ iPod Touch รุ่นใหม่ในอนาคตด้วย

ตัว เลขสถิติ Apple กล่าวว่ามีผู้ใช้อุปกรณ์ iOS รวมกว่า 365 ล้านรายแล้ว แถมจัดอันดับความพึงพอใจว่า iOS อยู่อันดับ 1 ซะอีก มากกว่า Android  ส่วนตัวเลขการใช้บริการอื่นอย่าง iMessage ก็มีคนใช้ iMessage 140 ล้านราย  ส่งข้อความไปหนึ่งแสนห้าหมื่นล้านข้อความ เฉลี่ย 1 พันล้านข้อความต่อวัน ส่วน Game Center มีคนเล่นมากถึง 130 ล้านบัญชี

และ สิ่งที่จะมาใหม่บน iOS6 นี้จะทำให้เจ้า SIRI ผู้ช่วยของคุณใน iPhone 4S มีความสามารถที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการพูดเพื่อสั่ง ให้เปิดแอพพลิเคชั่นนั้น  รองรับภาษาที่เพิ่มขึ้นมากถึง 15 ภาษาแล้ว และ iPad รุ่นใหม่นี้จะได้ siri บน iOS6 ด้วย   siri สามารถรองรับคำสั่งเพื่อแสดงรายงานผลกีฬา สถิติกีฒา แนะนำร้านอาหารใกล้ตัวคุณ และแนะนำภาพยนตร์ดีๆให้กับคุณได้  เรียกได้ว่า siri จะมีความเก่งข้อมูลเรื่อง Lifestyle มากขึ้นเลยทีเดียว

นอกจากนี้ Apple ได้จับมือกับผู้ผลิตรถยนต์หลายแบรนด์ เปิดตัว  Eye Free ที่สามารถสั่งSiri ผ่านทางรถยนต์ได้  โดยจะมีปุ่ม Eye Free อยู่บริเวณพวงมาลัยรถยนต์ให้กดและสั่ง siri ได้เลย

เนื่อง จากตั้งแต่ iOS5 มีระบบแจ้งเตือนด้วยดังนั้นหากคุณได้อนุญาตให้แอพมาช่วยเตือนว่ามีอัพเด ทอะไรถึงเราบ้าง ตลอดจนการเชื่อมต่อเข้าถึง Social Network นี้ ทำให้คุณรู้สึกรำคาญในขณะที่คุณหลับอยู่หรือทำงานอยู่  iOS6 เลยออกฟีเจอร์ Do Not Disturb ให้  ตอบโจทย์ตัดปัญหาเรื่องการแจ้งเตือนที่รำคาญในช่วงเวลาที่คุณหลับ

Facebook ถูกใส่ใน iOS6 ให้คุณอัพเดตสถานะ แชร์เว็บเพจ Sync ปฏิทินกิจกรรม  สามารถสั่ง Siri มาช่วยโพสสถานะ Facebook ได้ รวมถึงการ sync รายชื่อเพื่อนๆบน facebook ก็มาลงในใน iOS6 ได้ทันทีด้วย ซึ่งต่อยอดจากเดิมที่ iOS 5.5 จะรองรับกับ twitter นี่เอง เท่ากับว่าคุณสามารถโพสสถานะและติดตามเพื่อนบน facebook  และ twitter ได้เลยโดยไม่ต้องลงแอพ
สามารถแชร์ภาพ Photo Stream แชร์ภาพได้ดั่งใจมากขั้นทั้งแชร์ขึ้นทีวีโดยตรง หรือแชร์ส่งอีเมลล์ หรืออัพขึ้น facebook , twitter ได้อย่างสบายๆ

มี การเปลี่ยนแปลง อัพเดต Facetime จากเดิมที่ใช้ได้เมื่อเชื่อมต่อกับ wi-fi แต่เมื่อคุณอัพเกรดสู่ iOS6 นี้ จะสามารถ Facetime ผ่านระบบ 3G ผ่านทางเครือข่ายโทรศัพท์มือถือของคุณได้ ซึ่งจะใช้ได้ก็ต่อเมื่ออุปกรณ์ของคุณรองรับ 3G ด้วย เช่น iPhone , iPad2 รุ่น 3G  และ The new iPad รุ่น Cellular

และบริการใหม่ที่เด็ดมาก เกี่ยวกับบัตรนี้เอง ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกบน iOS6 นี้ กับแอพที่มีชื่อว่า Passbook  ซึ่งคุณสามารถสแกนบัตรเพื่อรับบัตรต่างๆเช่นตั๋วชมภาพยนตร์ ตั๋วโดยสารต่างๆ คูปองร้านอาหาร ตั่วคอนเสิร์ต และตั๋วเครื่องบินได้ด้วย โดยเช็คผ่านทาง Passbook บนมือถือ iPhone และ บน iPod Touch ได้เลย

บริการ Mail เพิ่ม Mail VIP แจ้งเตือนข้อความจากผู้ส่งที่เป็นคนสำคัญของคุณ เช่นคุณพ่อคุณแม่ ญาติพี่น้อง และแฟนของคุณนี่ละ จดหมายก็จะเตือนผ่าน Mail VIP เลย และเมลล์สามารถแนบไฟล์ภาพแล้วจะปรากฏแสดงภาพใน Mail ได้เลยด้วย

ปิด ท้าย ด้วย Maps โฉมใหม่ บน iOS6 คราวนี้จะไม่ใช้บน Google Maps จาก Google แล้ว เปลี่ยนมาใช้  OpenStreetMap สำหรับโครงแผนที่ โดยแผนที่นี้แสดงข้อมูลร้านอาหารได้ด้วยผ่านทาง yelp มีมีรวมไว้ในแผนที่ใหม่  แสดงข้อมูลจราจรแบบ Real-time แสดงแผนที่ในแบบ 3มิติ ผ่านฟีเจอร์ Flyover  และสามารถสสั่งงานเกี่ยวกับแผนที่ผ่าน SIRI ได้

ยัง มีฟีเจอร์อื่นๆอีกที่ถูกอัพเดทรวมใน iOS 6 นี้กว่า 200 ฟีเจอร์ จะเปิดโหลดในช่วงเดือนกันยายนนี้ ส่วนสำหรับนักพัฒนาสามารถทดสอบ iOS6 Beta ได้ตั้งแต่วันนี้  จะใช้ได้เฉพาะ iPad 2 ขึ้นไป และ iPod touch 4 และ iPhone 3GS ขึ้นไป  รวมไปถึงฟีเจอร์ทั้งหมดเหล่านี้ได้เต็มรูปแบบใน iPhone รุ่นใหม่ที่จะเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2012 ด้วย รอลุ้นกันว่า iPhone รุ่นใหม่นี้จะมาเมื่อไหร่ ?

ที่มา : http://www.it24hrs.com/2012/apple-wwdc2012-ios6-preview/
ความแตกต่างระหว่างเว็บ 1.0 , 2.0 , 3.0 , 4.0

Web1.0 ยุคแห่งการเริ่มต้น

            ในยุคแรกเริ่มของเว็บไซต์ที่อินเตอร์เน็ตยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก มีเพียงกลุ่มคนเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ใช้งานอุปกรณ์ในการใช้งานอินเตอร์เน็ตอย่างเครื่องคอมพิวเตอร์และโมเด็มยังมีราคา แพง ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตยังมีจำนวนน้อยและค่าใช้จ่ายในการใช้งานมีราคาสูงและความเร็วในการเชื่อมต่อและความเร็วในการใช้งานยังมีจำกัด ทำให้เว็บไซต์ในยุคนั้นมีลักษณะการแสดงเนื้อหาเป็นข้อความและภาพนิ่งเป็นส่วน

ก่อนที่เราจะมาทำความรู้จักกับ " web2.0 " ก่อนที่จะมาเป็น " web2.0 " เรามี " web1.0 " มาก่อน. " web1.0 " เป็นเว็บสมัยดั้งเดิมเป็นเว็บที่อยู่ในสมัยยุคแรกที่ internet กำลังดัง เพราะไอ้เจ้า " web1.0 " ตัวนี้นี่แหละที่ทำให้โลกของ internet ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะ " web1.0 " เป็นเว็บไซต์ที่นำเสนอข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ด้านต่างๆ ที่เราอยากรู้ ซึ่งจะส่งเนื้อหาต่างๆ ขึ้นหน้าจอคอมพิวเตอร์เพียงเดียวเพื่อนำเสนอผู้ที่มาเข้าชม พูดได้ง่ายๆ " web1.0 " ก็คือเว็บไซต์ต่างๆ ที่เราเปิดเพื่อค้นหาข้อมูลในการทำรายงานส่งอาจารย์นั่นเอง ในทฤษฎีของการสื่อสารถือว่าเป็นการสื่อสารทางเดียว ( one-way comunication )เพราะไม่มีการตอบรับจากผู้ที่ได้รับข้อมูล (แต่สามารถส่ง email หาผู้เขียนได้)


Web2.0 ยุคแห่งการพัฒนาและการเชื่อมโยง

            ในยุคของ Web 2.0 ที่อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และองค์ประกอบต่างๆ ที่ต้องใช้ในการเล่นอินเตอร์เน็ตมีราคาถูกลง มีการส่งเสริมและให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้งานคอมพิวเตอร์เพิ่มมากขึ้น ทำให้จำนวนผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้นเป็นจำนวนทวีคูณเมื่อเทียบกับ ยุคแรกๆ ที่อินเตอร์เน็ตยังไม่มีบทบาทต่อชีวิตประจำวันมากนัก ซึ่งส่งผลให้ความต้องการในการใช้งานส่วนต่างๆ เพิ่มมากขึ้น จึงทำให้มีต้องมีการพัฒนาเว็บไซต์เพื่อให้ตอบสนองความต้องการและรอบรับการใช้ งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ “Read – Write” เป็นการกล่าวถึงลักษณะของการแสดงเนื้อหาและการโต้ตอบกันระหว่างเจ้าของ เว็บไซต์กับผู้เข้าชมเว็บไซต์ในยุค Web 2.0 ซึ่งมีลักษณะเป็นการที่มีการแบ่งปันความรู้ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน มากกว่าที่จะเป็นเพียงการนำเสนอข้อมูลผ่านเว็บไซต์เพียงอย่างเดียว โดยผู้เข้าชมสามารถทำการแสดงความคิดเห็น หรือทำการสร้างเนื้อหา โดยไม่ต้องเป็นหนึ่งในทีมสร้างเนื้อหาหรือเจ้าของเว็บไซต์ได้

            ส่วน " web2.0 " เป็นคำที่ถูกนิยามขึ้นโดยบริษัทที่ทำเกี่ยวกับ Media ของอเมริกาที่มีชื่อว่า " O'Reilly Media " ในปีค.ศ.2004 ซึ่ง " web2.0 " นี้เป็นชื่อที่ใช้เรียกรวมๆ เกี่ยวกับการใช้งาน " internet " ที่มีการก้าวเข้ามาสู่ยุคที่ 2 ที่มีพื้นฐานการให้บริการเป็นหลัก และมีรูปแบบการใช้งาน " internet " ที่เปลี่ยนไปหรือกล่าวได้ว่าเป็นสังคม " network " ที่ผู้ใช้ " internet " มีส่วนรวมในการสร้างมันขึ้นมาซึ่งเป็นการสะท้อนความต้องภายในของผู้ใช้อย่างชัดเจน ซึ่ง " web2.0 " มีคุณลักษณะ " web2.0 application " และ " web2.0 website " ซึ่งจะต้องมีสิ่งหลักๆ เหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย

1. " network as platform " คือจะต้องให้บริการหรือสามารถใช้งานผ่านทาง " web browser " ได้

2. ผู้ใช้งานที่เป็นเจ้าของข้อมูลบน " website " นั้น สามารถดำเนินการใดๆ ก็ได้กับข้อมูลนั้น

3. โครงสร้างของการมีส่วนร่วมและความเป็นอิสระนั้นจะเป็นสิ่งกระตุ้นให้ผู้ใช้เพิ่มคุณค่าให้กับ " website " หรือ " application " นั้น กล่าวคือ การมีส่วนร่วมและความเป็นอิสระจะทำให้มีการใช้งานมาก ทำให้สิ่งนั้นมีคุณค่าน่าสนใจ

4. ใช้ ajax ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีความฉลาดมีการโต้ตอบกับผู้ใช้และมี interfaceที่ง่ายในการใช้งาน


Web3.0 ยุคของการพัฒนาเว็บไซต์

   เว็บ 3.0 เป็นแนวคิดที่ได้มาจากเว็บ 2.0 ที่เกิดขึ้นมากมาย ให้เว็บนั้นสามารถจัดการข้อมูลจำนวนมากได้โดยเอาข้อมูลต่างๆที่มีอยู่มาจัดให้อยู่ในรูปแบบ Metadata ที่หมายถึงข้อมูลที่สามารถบอกรายละเอียดได้ ทำให้ผู้เยี่ยมชมสามารถเข้าถึงเนื้อหาของเว็บได้ดีขึ้นนั้นเองสมัยก่อนคอมพิวเตอร์ไม่เข้าใจว่าแต่ละเว็บคืออะไร เวลาไปค้นหาข้อมูล (Search) ก็ไม่รู้ แต่เว็บ 3.0 จะเป็นการเติมและเพิ่มความหมายเข้าไปในเนื้อหาสาระที่คอมพิวเตอร์ไม่เข้าใจในตอนแรกให้เข้าใจมากขึ้น จนสามารถจะเข้าใจในสิ่งที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาด้วย text ธรรมดา การค้นหาภาพ (Image Search) รวมถึงความสามารถในการค้นหาข้อมูลที่เป็นข้อมูลต่อเนื่อง (Stream line) เช่นคลิป เพลง วีดีโอ ซึ่งเป็นความอัจฉริยะของเว็บยุค 3.0 และ การจะทำให้เว็บไซต์เข้าใจข้อมูลทุกๆ ชิ้นที่อยู่ใน"เวิลด์ ไซด์ เว็บ" (www – world wide web)

ในอนาคตนี้ Web 3.0 กำลังจะมาซึ่งเกิดจากการที่มีข้อมูลเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ เกิดจากที่ผู้พัฒนาเว็บไซต์และผู้ที่เยี่ยมชมเว็บเข้ามาเขียนบทความ เขียนอะไรเพิ่มเติม ดังนั้น Web 3.0 จะเข้ามาเพื่อจัดการข้อมูลที่มีปริมาณเพิ่มมากขึ้นนี้ โดยการใช้ Metadata ซึ่งเป็นการใช้บ่งบอกรายละเอียดของข้อมูล รูปแบบนี้ที่เราเห็นกันได้บ่อยๆ ก็คือ Tag นั่นเอง เมื่อมีการใช้ Tag เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเว็บเราก็จะถูกดึงเข้ามา ดังนั้นจึงทำให้เราไม่จำเป็นต้องเพิ่มเติมเนื้อหาในเว็บมากจนเกินไป เนื่องจากตัวเว็บไซต์จะทำการประมวลผลและหาข้อมูลเนื้อหาที่เกี่ยวข้องมาให้ เอง เช่น เว็บไซต์ Apple จะมี Tag ที่เป็น Computer ipod Technology ฯลฯ เข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อที่ผู้เยี่ยมชมเว็บ Apple เกิดสนใจเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้องก็สามารถจะอ่านต่อไปได้


Web4.0

            Web4.0นั้นพัฒนาต่อจาก Web 3.0 โดยหัวใจของมันก็คือเรื่องของ Adaptable หรือความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมของผู้ใช้ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับความสะดวกและได้รับข้อมูลที่พวกเขาต้องการมากที่สุดโดยประยุกต์ใช้รูปแบบพฤติกรรมของผู้บริโภคเป็นตัวค้นหา อีกทั้งยังเป็นเว็บที่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองว่าผู้บริโภคชอบไม่ชอบอะไรในเว็บ หากชอบฟังค์ชันการทำงานนั้นก็จะปรับตัวให้ดียิ่งขึ้นและสร้างความเกี่ยวพันกับการใช้งานของผู้บริโภคมากขึ้น แต่ถ้าหากไม่ชอบฟังค์ชันการทำงานนั้นๆจะค่อยหายไปจนไม่โผล่มากวนใจอีกเลย

เว็บ4.0เป็นแนวคิดเบื้องต้น เป็น learning web แทนที่จะต้องสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำอะไรโดยเข้าไปในโปรแกรมต่างๆ คอมจะปรับตัวมันเองให้เข้ากับการใช้งานของผู้ใช้ เช่นปรับโปรแกรมเป็นโปรมแกรมที่เราตองการ เว็บ10.0 คือจินตนาการว่าเว็บฉลาดขึ้นจนถึงขีดสุด จะทำให้มันสามารถเชื่อมโยงข้อมูลได้ง่ายจนเราแทบไม่ต้องทำอะไร เพียงแค่เราคิดก็สามารถถ่ายถอดข้อมูลไปยังบุคคลอื่นได้ หรือรู้เองว่าเราอ่านหนังสือเล่มไหนแล้วเราชอบ รู้ว่าเรามีหนังสือกี่เล่มและสามารถแนะนำหนังสือที่เราอาจจะชอบได้ สรุปว่าเว็บในอนาคตจะฉลาดขึ้น รู้ความต้องการของผู้ใช้มากขึ้นโดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องนั่งอยู่หน้าคอมตลอดเวลา

อ้างอิงจาก : http://www.learners.in.th/blogs/posts/483457
                   http://www.thaigoodview.com/node/83003