จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

แนะนำตัวเจ้าของ Blog


ชื่อ : นายธิษณะ จงเจษฎ์
ชื่อเล่น : ธี
ภูมิลำเนา : อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ
จบการศึกษาจาก : โรงเรียนเทพศิรินทร์ร่มเกล้า กทมฯ
ปัจจุบันกำลังศึกษาที่ : มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร คณะวิทยาลัยการฝึกหัดครู สาขาคณิตศาสตร์

วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Apple เปิดตัว iOS6 ในงาน WWDC2012 
พร้อมความสามารถใหม่

 
จากข่าวก่อนหน้านี้เป็นที่แน่ชัดว่า WWDC 2012 นี้จะมีการเปิดตัว iOS6 นี้อย่างแน่นอน แสดง ว่าต้องมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในอนาคตสำหรับ อุปกรณ์ iOS อย่าง iPhone , iPod Touch และ iPad นี้ เลยมาดูกันว่าความสามารถที่เพิ่มขึ้นจะมีอะไรบ้าง ซึ่งฟีเจอร์นี้ก็จะรวมไปถึงอนาคตผลิตภัณฑ์ใหม่ที่คุณรอคอยอย่าง iPhone รุ่นใหม่และ iPod Touch รุ่นใหม่ในอนาคตด้วย

ตัว เลขสถิติ Apple กล่าวว่ามีผู้ใช้อุปกรณ์ iOS รวมกว่า 365 ล้านรายแล้ว แถมจัดอันดับความพึงพอใจว่า iOS อยู่อันดับ 1 ซะอีก มากกว่า Android  ส่วนตัวเลขการใช้บริการอื่นอย่าง iMessage ก็มีคนใช้ iMessage 140 ล้านราย  ส่งข้อความไปหนึ่งแสนห้าหมื่นล้านข้อความ เฉลี่ย 1 พันล้านข้อความต่อวัน ส่วน Game Center มีคนเล่นมากถึง 130 ล้านบัญชี

และ สิ่งที่จะมาใหม่บน iOS6 นี้จะทำให้เจ้า SIRI ผู้ช่วยของคุณใน iPhone 4S มีความสามารถที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการพูดเพื่อสั่ง ให้เปิดแอพพลิเคชั่นนั้น  รองรับภาษาที่เพิ่มขึ้นมากถึง 15 ภาษาแล้ว และ iPad รุ่นใหม่นี้จะได้ siri บน iOS6 ด้วย   siri สามารถรองรับคำสั่งเพื่อแสดงรายงานผลกีฬา สถิติกีฒา แนะนำร้านอาหารใกล้ตัวคุณ และแนะนำภาพยนตร์ดีๆให้กับคุณได้  เรียกได้ว่า siri จะมีความเก่งข้อมูลเรื่อง Lifestyle มากขึ้นเลยทีเดียว

นอกจากนี้ Apple ได้จับมือกับผู้ผลิตรถยนต์หลายแบรนด์ เปิดตัว  Eye Free ที่สามารถสั่งSiri ผ่านทางรถยนต์ได้  โดยจะมีปุ่ม Eye Free อยู่บริเวณพวงมาลัยรถยนต์ให้กดและสั่ง siri ได้เลย

เนื่อง จากตั้งแต่ iOS5 มีระบบแจ้งเตือนด้วยดังนั้นหากคุณได้อนุญาตให้แอพมาช่วยเตือนว่ามีอัพเด ทอะไรถึงเราบ้าง ตลอดจนการเชื่อมต่อเข้าถึง Social Network นี้ ทำให้คุณรู้สึกรำคาญในขณะที่คุณหลับอยู่หรือทำงานอยู่  iOS6 เลยออกฟีเจอร์ Do Not Disturb ให้  ตอบโจทย์ตัดปัญหาเรื่องการแจ้งเตือนที่รำคาญในช่วงเวลาที่คุณหลับ

Facebook ถูกใส่ใน iOS6 ให้คุณอัพเดตสถานะ แชร์เว็บเพจ Sync ปฏิทินกิจกรรม  สามารถสั่ง Siri มาช่วยโพสสถานะ Facebook ได้ รวมถึงการ sync รายชื่อเพื่อนๆบน facebook ก็มาลงในใน iOS6 ได้ทันทีด้วย ซึ่งต่อยอดจากเดิมที่ iOS 5.5 จะรองรับกับ twitter นี่เอง เท่ากับว่าคุณสามารถโพสสถานะและติดตามเพื่อนบน facebook  และ twitter ได้เลยโดยไม่ต้องลงแอพ
สามารถแชร์ภาพ Photo Stream แชร์ภาพได้ดั่งใจมากขั้นทั้งแชร์ขึ้นทีวีโดยตรง หรือแชร์ส่งอีเมลล์ หรืออัพขึ้น facebook , twitter ได้อย่างสบายๆ

มี การเปลี่ยนแปลง อัพเดต Facetime จากเดิมที่ใช้ได้เมื่อเชื่อมต่อกับ wi-fi แต่เมื่อคุณอัพเกรดสู่ iOS6 นี้ จะสามารถ Facetime ผ่านระบบ 3G ผ่านทางเครือข่ายโทรศัพท์มือถือของคุณได้ ซึ่งจะใช้ได้ก็ต่อเมื่ออุปกรณ์ของคุณรองรับ 3G ด้วย เช่น iPhone , iPad2 รุ่น 3G  และ The new iPad รุ่น Cellular

และบริการใหม่ที่เด็ดมาก เกี่ยวกับบัตรนี้เอง ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกบน iOS6 นี้ กับแอพที่มีชื่อว่า Passbook  ซึ่งคุณสามารถสแกนบัตรเพื่อรับบัตรต่างๆเช่นตั๋วชมภาพยนตร์ ตั๋วโดยสารต่างๆ คูปองร้านอาหาร ตั่วคอนเสิร์ต และตั๋วเครื่องบินได้ด้วย โดยเช็คผ่านทาง Passbook บนมือถือ iPhone และ บน iPod Touch ได้เลย

บริการ Mail เพิ่ม Mail VIP แจ้งเตือนข้อความจากผู้ส่งที่เป็นคนสำคัญของคุณ เช่นคุณพ่อคุณแม่ ญาติพี่น้อง และแฟนของคุณนี่ละ จดหมายก็จะเตือนผ่าน Mail VIP เลย และเมลล์สามารถแนบไฟล์ภาพแล้วจะปรากฏแสดงภาพใน Mail ได้เลยด้วย

ปิด ท้าย ด้วย Maps โฉมใหม่ บน iOS6 คราวนี้จะไม่ใช้บน Google Maps จาก Google แล้ว เปลี่ยนมาใช้  OpenStreetMap สำหรับโครงแผนที่ โดยแผนที่นี้แสดงข้อมูลร้านอาหารได้ด้วยผ่านทาง yelp มีมีรวมไว้ในแผนที่ใหม่  แสดงข้อมูลจราจรแบบ Real-time แสดงแผนที่ในแบบ 3มิติ ผ่านฟีเจอร์ Flyover  และสามารถสสั่งงานเกี่ยวกับแผนที่ผ่าน SIRI ได้

ยัง มีฟีเจอร์อื่นๆอีกที่ถูกอัพเดทรวมใน iOS 6 นี้กว่า 200 ฟีเจอร์ จะเปิดโหลดในช่วงเดือนกันยายนนี้ ส่วนสำหรับนักพัฒนาสามารถทดสอบ iOS6 Beta ได้ตั้งแต่วันนี้  จะใช้ได้เฉพาะ iPad 2 ขึ้นไป และ iPod touch 4 และ iPhone 3GS ขึ้นไป  รวมไปถึงฟีเจอร์ทั้งหมดเหล่านี้ได้เต็มรูปแบบใน iPhone รุ่นใหม่ที่จะเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2012 ด้วย รอลุ้นกันว่า iPhone รุ่นใหม่นี้จะมาเมื่อไหร่ ?

ที่มา : http://www.it24hrs.com/2012/apple-wwdc2012-ios6-preview/
ความแตกต่างระหว่างเว็บ 1.0 , 2.0 , 3.0 , 4.0

Web1.0 ยุคแห่งการเริ่มต้น

            ในยุคแรกเริ่มของเว็บไซต์ที่อินเตอร์เน็ตยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก มีเพียงกลุ่มคนเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ใช้งานอุปกรณ์ในการใช้งานอินเตอร์เน็ตอย่างเครื่องคอมพิวเตอร์และโมเด็มยังมีราคา แพง ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตยังมีจำนวนน้อยและค่าใช้จ่ายในการใช้งานมีราคาสูงและความเร็วในการเชื่อมต่อและความเร็วในการใช้งานยังมีจำกัด ทำให้เว็บไซต์ในยุคนั้นมีลักษณะการแสดงเนื้อหาเป็นข้อความและภาพนิ่งเป็นส่วน

ก่อนที่เราจะมาทำความรู้จักกับ " web2.0 " ก่อนที่จะมาเป็น " web2.0 " เรามี " web1.0 " มาก่อน. " web1.0 " เป็นเว็บสมัยดั้งเดิมเป็นเว็บที่อยู่ในสมัยยุคแรกที่ internet กำลังดัง เพราะไอ้เจ้า " web1.0 " ตัวนี้นี่แหละที่ทำให้โลกของ internet ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะ " web1.0 " เป็นเว็บไซต์ที่นำเสนอข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ด้านต่างๆ ที่เราอยากรู้ ซึ่งจะส่งเนื้อหาต่างๆ ขึ้นหน้าจอคอมพิวเตอร์เพียงเดียวเพื่อนำเสนอผู้ที่มาเข้าชม พูดได้ง่ายๆ " web1.0 " ก็คือเว็บไซต์ต่างๆ ที่เราเปิดเพื่อค้นหาข้อมูลในการทำรายงานส่งอาจารย์นั่นเอง ในทฤษฎีของการสื่อสารถือว่าเป็นการสื่อสารทางเดียว ( one-way comunication )เพราะไม่มีการตอบรับจากผู้ที่ได้รับข้อมูล (แต่สามารถส่ง email หาผู้เขียนได้)


Web2.0 ยุคแห่งการพัฒนาและการเชื่อมโยง

            ในยุคของ Web 2.0 ที่อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และองค์ประกอบต่างๆ ที่ต้องใช้ในการเล่นอินเตอร์เน็ตมีราคาถูกลง มีการส่งเสริมและให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้งานคอมพิวเตอร์เพิ่มมากขึ้น ทำให้จำนวนผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้นเป็นจำนวนทวีคูณเมื่อเทียบกับ ยุคแรกๆ ที่อินเตอร์เน็ตยังไม่มีบทบาทต่อชีวิตประจำวันมากนัก ซึ่งส่งผลให้ความต้องการในการใช้งานส่วนต่างๆ เพิ่มมากขึ้น จึงทำให้มีต้องมีการพัฒนาเว็บไซต์เพื่อให้ตอบสนองความต้องการและรอบรับการใช้ งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ “Read – Write” เป็นการกล่าวถึงลักษณะของการแสดงเนื้อหาและการโต้ตอบกันระหว่างเจ้าของ เว็บไซต์กับผู้เข้าชมเว็บไซต์ในยุค Web 2.0 ซึ่งมีลักษณะเป็นการที่มีการแบ่งปันความรู้ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน มากกว่าที่จะเป็นเพียงการนำเสนอข้อมูลผ่านเว็บไซต์เพียงอย่างเดียว โดยผู้เข้าชมสามารถทำการแสดงความคิดเห็น หรือทำการสร้างเนื้อหา โดยไม่ต้องเป็นหนึ่งในทีมสร้างเนื้อหาหรือเจ้าของเว็บไซต์ได้

            ส่วน " web2.0 " เป็นคำที่ถูกนิยามขึ้นโดยบริษัทที่ทำเกี่ยวกับ Media ของอเมริกาที่มีชื่อว่า " O'Reilly Media " ในปีค.ศ.2004 ซึ่ง " web2.0 " นี้เป็นชื่อที่ใช้เรียกรวมๆ เกี่ยวกับการใช้งาน " internet " ที่มีการก้าวเข้ามาสู่ยุคที่ 2 ที่มีพื้นฐานการให้บริการเป็นหลัก และมีรูปแบบการใช้งาน " internet " ที่เปลี่ยนไปหรือกล่าวได้ว่าเป็นสังคม " network " ที่ผู้ใช้ " internet " มีส่วนรวมในการสร้างมันขึ้นมาซึ่งเป็นการสะท้อนความต้องภายในของผู้ใช้อย่างชัดเจน ซึ่ง " web2.0 " มีคุณลักษณะ " web2.0 application " และ " web2.0 website " ซึ่งจะต้องมีสิ่งหลักๆ เหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย

1. " network as platform " คือจะต้องให้บริการหรือสามารถใช้งานผ่านทาง " web browser " ได้

2. ผู้ใช้งานที่เป็นเจ้าของข้อมูลบน " website " นั้น สามารถดำเนินการใดๆ ก็ได้กับข้อมูลนั้น

3. โครงสร้างของการมีส่วนร่วมและความเป็นอิสระนั้นจะเป็นสิ่งกระตุ้นให้ผู้ใช้เพิ่มคุณค่าให้กับ " website " หรือ " application " นั้น กล่าวคือ การมีส่วนร่วมและความเป็นอิสระจะทำให้มีการใช้งานมาก ทำให้สิ่งนั้นมีคุณค่าน่าสนใจ

4. ใช้ ajax ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีความฉลาดมีการโต้ตอบกับผู้ใช้และมี interfaceที่ง่ายในการใช้งาน


Web3.0 ยุคของการพัฒนาเว็บไซต์

   เว็บ 3.0 เป็นแนวคิดที่ได้มาจากเว็บ 2.0 ที่เกิดขึ้นมากมาย ให้เว็บนั้นสามารถจัดการข้อมูลจำนวนมากได้โดยเอาข้อมูลต่างๆที่มีอยู่มาจัดให้อยู่ในรูปแบบ Metadata ที่หมายถึงข้อมูลที่สามารถบอกรายละเอียดได้ ทำให้ผู้เยี่ยมชมสามารถเข้าถึงเนื้อหาของเว็บได้ดีขึ้นนั้นเองสมัยก่อนคอมพิวเตอร์ไม่เข้าใจว่าแต่ละเว็บคืออะไร เวลาไปค้นหาข้อมูล (Search) ก็ไม่รู้ แต่เว็บ 3.0 จะเป็นการเติมและเพิ่มความหมายเข้าไปในเนื้อหาสาระที่คอมพิวเตอร์ไม่เข้าใจในตอนแรกให้เข้าใจมากขึ้น จนสามารถจะเข้าใจในสิ่งที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาด้วย text ธรรมดา การค้นหาภาพ (Image Search) รวมถึงความสามารถในการค้นหาข้อมูลที่เป็นข้อมูลต่อเนื่อง (Stream line) เช่นคลิป เพลง วีดีโอ ซึ่งเป็นความอัจฉริยะของเว็บยุค 3.0 และ การจะทำให้เว็บไซต์เข้าใจข้อมูลทุกๆ ชิ้นที่อยู่ใน"เวิลด์ ไซด์ เว็บ" (www – world wide web)

ในอนาคตนี้ Web 3.0 กำลังจะมาซึ่งเกิดจากการที่มีข้อมูลเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ เกิดจากที่ผู้พัฒนาเว็บไซต์และผู้ที่เยี่ยมชมเว็บเข้ามาเขียนบทความ เขียนอะไรเพิ่มเติม ดังนั้น Web 3.0 จะเข้ามาเพื่อจัดการข้อมูลที่มีปริมาณเพิ่มมากขึ้นนี้ โดยการใช้ Metadata ซึ่งเป็นการใช้บ่งบอกรายละเอียดของข้อมูล รูปแบบนี้ที่เราเห็นกันได้บ่อยๆ ก็คือ Tag นั่นเอง เมื่อมีการใช้ Tag เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเว็บเราก็จะถูกดึงเข้ามา ดังนั้นจึงทำให้เราไม่จำเป็นต้องเพิ่มเติมเนื้อหาในเว็บมากจนเกินไป เนื่องจากตัวเว็บไซต์จะทำการประมวลผลและหาข้อมูลเนื้อหาที่เกี่ยวข้องมาให้ เอง เช่น เว็บไซต์ Apple จะมี Tag ที่เป็น Computer ipod Technology ฯลฯ เข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อที่ผู้เยี่ยมชมเว็บ Apple เกิดสนใจเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้องก็สามารถจะอ่านต่อไปได้


Web4.0

            Web4.0นั้นพัฒนาต่อจาก Web 3.0 โดยหัวใจของมันก็คือเรื่องของ Adaptable หรือความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมของผู้ใช้ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับความสะดวกและได้รับข้อมูลที่พวกเขาต้องการมากที่สุดโดยประยุกต์ใช้รูปแบบพฤติกรรมของผู้บริโภคเป็นตัวค้นหา อีกทั้งยังเป็นเว็บที่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองว่าผู้บริโภคชอบไม่ชอบอะไรในเว็บ หากชอบฟังค์ชันการทำงานนั้นก็จะปรับตัวให้ดียิ่งขึ้นและสร้างความเกี่ยวพันกับการใช้งานของผู้บริโภคมากขึ้น แต่ถ้าหากไม่ชอบฟังค์ชันการทำงานนั้นๆจะค่อยหายไปจนไม่โผล่มากวนใจอีกเลย

เว็บ4.0เป็นแนวคิดเบื้องต้น เป็น learning web แทนที่จะต้องสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำอะไรโดยเข้าไปในโปรแกรมต่างๆ คอมจะปรับตัวมันเองให้เข้ากับการใช้งานของผู้ใช้ เช่นปรับโปรแกรมเป็นโปรมแกรมที่เราตองการ เว็บ10.0 คือจินตนาการว่าเว็บฉลาดขึ้นจนถึงขีดสุด จะทำให้มันสามารถเชื่อมโยงข้อมูลได้ง่ายจนเราแทบไม่ต้องทำอะไร เพียงแค่เราคิดก็สามารถถ่ายถอดข้อมูลไปยังบุคคลอื่นได้ หรือรู้เองว่าเราอ่านหนังสือเล่มไหนแล้วเราชอบ รู้ว่าเรามีหนังสือกี่เล่มและสามารถแนะนำหนังสือที่เราอาจจะชอบได้ สรุปว่าเว็บในอนาคตจะฉลาดขึ้น รู้ความต้องการของผู้ใช้มากขึ้นโดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องนั่งอยู่หน้าคอมตลอดเวลา

อ้างอิงจาก : http://www.learners.in.th/blogs/posts/483457
                   http://www.thaigoodview.com/node/83003

วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Search Engine คือ ?

ความหมายของ Search Engine
เสิร์ชเอนจิน (search engine) หรือ โปรแกรมค้นหา และคือ โปรแกรมที่ช่วยในการสืบค้นหาข้อมูล โดยเฉพาะข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต โดยครอบคลุมทั้งข้อความ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว เพลง ซอฟต์แวร์ แผนที่ ข้อมูลบุคคล กลุ่มข่าว และอื่น ๆ ซึ่งแตกต่างกันไปแล้วแต่โปรแกรมหรือผู้ให้บริการแต่ละราย. เสิร์ชเอนจินส่วนใหญ่จะค้นหาข้อมูลจากคำสำคัญ (คีย์เวิร์ด) ที่ผู้ใช้ป้อนเข้าไป จากนั้นก็จะแสดงรายการผลลัพธ์ที่มันคิดว่าผู้ใช้น่าจะต้องการขึ้นมา ในปัจจุบัน เสิร์ชเอนจินบางตัว เช่น กูเกิล จะบันทึกประวัติการค้นหาและการเลือกผลลัพธ์ของผู้ใช้ไว้ด้วย และจะนำประวัติที่บันทึกไว้นั้น มาช่วยกรองผลลัพธ์ในการค้นหาครั้งต่อ ๆ ไป
ประเภทของ Search Engine
ประเภทที่ 1 Crawler Based Search EnginesCrawler Based Search Engines คือ เครื่องมือการค้นหาบนอินเตอร์เน็ตแบบอาศัยการบันทึกข้อมูล และ จัดเก็บข้อมูลเป็นหลัก ซึ่งจะเป็นจำพวก Search Engine ที่ได้รับความนิยมสูงสุด เนื่องจากให้ผลการค้นหาแม่นยำที่สุด และการประมวลผลการค้นหาสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้มีบทบาทในการค้นหาข้อมูลมากที่สุดในปัจจุบันโดยมีองประกอบหลักเพียง 2 ส่วนด้วยกันคือ
1. ฐานข้อมูล โดยส่วนใหญ่แล้ว Crawler Based Search Engine เหล่านี้จะมีฐานข้อมูลเป็นของตัวเอง ที่มีระบบการประมวลผล และ การจัดอันดับที่เฉพาะ เป็นเอกลักษณ์ของตนเองอย่างมาก
2. ซอฟแวร์ คือเครื่องมือหลักสำคัญที่สุดอีกส่วนหนึ่งสำหรับ Serch Engine ประเภทนี้ เนื่องจากต้องอาศัยโปรแกรมเล็ก ๆ (ชนิดที่เรียกว่า จิ๋วแต่แจ๋ว) ทำหน้าที่ในการตรวจหา และ ทำการจัดเก็บข้อมูล หน้าเพจ หรือ เว็บไซต์ต่าง ๆ ในรูปแบบ ของการทำสำเนาข้อมูล เหมือนกับต้นฉบับทุกอย่าง ซึ่งเราจะรู้จักกันในนาม Spider หรือ Web Crawler หรือ Search Engine Robotsตัวอย่างหนึ่งของ Crawler Based Search Engine ชื่อดัง http://www.google.com/
ประเภทที่ 2 Web Directory หรือ Blog Directory
Web Directory หรือ Blog Directory คือ สารบัญเว็บไซต์ที่ให้คุณสามารถค้นหาข่าวสารข้อมูล ด้วยหมวดหมู่ข่าวสารข้อมูลที่เกี่ยวข้องกัน ในปริมาณมาก ๆ คล้าย ๆ กับสมุดหน้าเหลืองครับ ซึ่งจะมีการสร้าง ดรรชนี มีการระบุหมวดหมู่ อย่างชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้การค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ตามหมวดหมู่นั้น ๆ ได้รับการเปรียบเทียบอ้างอิง เพื่อหาข้อเท็จจริงได้ ในขณะที่เราค้นหาข้อมูล เพราะว่าจะมีเว็บไซต์มากมาย หรือ Blog มากมายที่มีเนื้อหาคล้าย ๆ กันในหมวดหมู่เดียวกัน ให้เราเลือกที่จะหาข้อมูลได้ อย่างตรงประเด็นที่สุด (ลดระยะเวลาได้มากในการค้นหา) 
ประเภทที่ 3 Meta Search Engine
Meta Search Engine คือ Search Engine ที่ใช้หลักการในการค้นหาโดยอาศัย Meta Tag ในภาษา HTML ซึ่งมีการประกาศชุดคำสั่งต่าง ๆ เป็นรูปแบบของ Tex Editor ด้วยภาษา HTML นั่นเองเช่น ชื่อผู้พัฒนา คำค้นหา เจ้าของเว็บ หรือ บล็อก คำอธิบายเว็บหรือบล็อกอย่างย่อ

หลักการทำงานของ Search Engine
  1. การตรวจค้นหาข้อมูลในเว็บเพจต่างๆ
  2. ทำหน้าที่ในการรวบรวมข้อมูลที่ได้ทำการตรวจค้นไว้ในฐานข้อมูล
  3. การแสดงผลการค้นหาข้อมูล
ตัวอย่าง Search Engine
  1. http://google.co.th
  2. http://th.yahoo.com
  3. http://th.msn.com
  4. http://corp.aol.com
  5. http://www.siamguru.com
  6. http://www.sanook.com
  7. http://www.catcha.co.th
  8. http://www.thaiseek.com 
ในประเทศไทยมีการพัฒนาเครื่องมือค้นหาของไทยในชื่อ สรรสาร พัฒนาโดย เนคเทค
การใช้งาน Search Engine ขั้นสูง (Google)
1.Google จะใช้ and (และ) อยู่ในประโยคเสมอ เช่น ค้นหา harvest moon back to nature Google จะค้นหาแบบ harvest AND moon AND back... (พูดง่ายๆคือค้นหาแบบแยกคำ)

2.
การใช้ OR (หรือ) คือการให้ Google หาข้อมูลมากขึ้นจาก คำA และ คำB (พูดง่ายๆ คือนำผลที่ได้ มารวมกันรวมกัน) วิธีใช้ พิมพ์ OR ด้วยตัวใหญ่ระหว่างคำที่ต้องการ เช่น vacation london OR paris คือหาทั้งใน London และ Paris

3. Google จะละคำทั่วๆไป (เช่น the, to, of) และตัวอักษรเดี่ยว เพราะจะทำให้ค้นหาช้าลง แต่ถ้าคำพวกนั้นสามารถช่วยให้หาข้อมูลง่ายขึ้น ก็ต้องใช้เครื่องหมาย + ช่วยโดยนำไปอยู่หน้าคำนั้น (ต้องเว้นวรรคก่อนด้วย) เช่น back +to nature หรือ final fantasy +x

4. Google
สามารถกันขอบเขตการค้นหาให้เล็กลงด้วยการใช้ Advanced Search หรือ การค้นหา แบบพิเศษ ใน Google ภาษาไทย

5. Google
สามารถตัดคำพ้องรูปได้โดยใช้เครื่องหมาย - ช่วยโดยการนำไปอยู่คำที่จะตัด เช่น คำว่า bass มี 2 ความหมายคือ เกี่ยวกับปลา และดนตรีเราจะตัดที่มีความหมายเกี่ยวกับดนตรีออกโดยพิมพ์ bass -music หมายความว่า bass ที่ไม่มีคำว่า music นอกจากนี้มันยังสามารถตัดอย่างอื่นได้อีก เช่น "front mission 3" -filetype:pdf หมายความว่า เรื่องเกี่ยวกับ front mission 3 แต่ไม่แสดงไฟล์ PDF

6.
การค้นหาแบบทั้งวลี (คือการค้นหาทั้งกลุ่มคำ) ให้ใช้เครื่องหมาย " " เช่น "Breath of fire IV"

7. Google
สามารถแปลเว็บภาษา Italian, French, Spanish, German, และ Portuguese เป็น ภาษาอังกฤษได้ (โดยคลิ้กที่คำว่า "Translate this page" ด้านข้างชื่อเว็บ)

8. Google
สามารถหาไฟล์ในรูปแบบอื่นๆที่ไม่ใช่ HTML ได้ ประเภทไฟล์ที่รองรับคือ

Adobe Portable Document Format (
นามสกุลของไฟล์ pdf)
Adobe PostScript (
นามสกุลของไฟล์ ps)
Lotus 1-2-3 (
นามสกุลของไฟล์ wk1, wk2, wk3, wk4, wk5, wki, wks, wku)
Lotus WordPro (
นามสกุลของไฟล์ lwp)
MacWrite (
นามสกุลของไฟล์ mw)
Microsoft Excel (
นามสกุลของไฟล์ xls)
Microsoft PowerPoint (
นามสกุลของไฟล์ ppt)
Microsoft Word (
นามสกุลของไฟล์ doc)
Microsoft Works (
นามสกุลของไฟล์ wks, wps, wdb)
Microsoft Write (
นามสกุลของไฟล์ wri)
Rich Text Format (
นามสกุลของไฟล์ rtf)
Text (
นามสกุลของไฟล์ ans หรือ txt)วิธีใช้ filetype:นามสกุลของไฟล์ เช่น "Chrono Cross" filetype:pdf หมายความว่าเอกสารของ Chrono Cross ที่เป็น PDF และมันยังมีความสามารถดูไฟล์เหล่านั้นในรูปแบบของ HTML ได้ (โดยคลิ้ก View as HTML หรือ รูปแบบ HTML ใน Google ไทย)

9. Google
สามารถเก็บ Cached ของเว็บที่จะเข้าชมไว้ได้ (โดยคลิ้กที่ Cached หรือ ถูกเก็บไว้ ใน Google ภาษาไทย) ประโยชน์ของมันคือช่วยให้เราสามารถเข้าเว็บบางเว็บที่อาจโดนลบไปแล้ว โดยข้อมูลที่ได้เป็นข้อมูลก่อนถูกลบ (ใหม่สุดที่มันจะมีได้)

10.Google
สามารถค้นหาหน้าที่คล้ายกัน (โดยคลิ้ก Similar pages หรือ หน้าที่คล้ายกัน ใน Google ภาษาไทย) โดยจะค้นหาข้อมูลที่คล้ายๆ กันให้เรา เช่น ถ้าเรากำลังหาข้อมูลการวิจัย ความสามารถนี้จะช่วยให้หาข้อมูลได้มากมายในเวลาที่รวดเร็วโดยไม่ต้องเป็นห่วงเรื่อง keyword

11.Google
สามารถค้นหา link ทั้งหมดที่เชื่อมไปยังเว็บนั้นได้ วิธีใช้ link:ชื่อ URL เช่น link:www.google.com แต่คุณไม่สามารถใช้ความสามารถนี้ร่วมกับการหาแบบอื่นๆ ได้

12.Google
สามารถค้นหาเว็บที่จำเพาะเจาะจงได้ โดยพิมพ์ คำที่คุณต้องการเจาะจง site:ชื่อ URL เช่น ถ้าคุณต้องการหาเว็บเกี่ยวกับการเข้า (admission) มหาวิทยาลัย Stanford ให้พิมพ์ admission site:www.stanford.edu

13.
ถ้าคุณมีเวลาน้อย (และคิดว่าโชคดี) Google มีบริการการค้นหาด่วน (ชื่อบริการ I'm Feeling Lucky) โดยที่ Google จะนำเว็บที่อยู่ลำดับแรกของการค้นหา ส่งให้คุณเลย (link ไปเว็บนั้นให้เสร็จ) เช่น คุณต้องการค้นหาเว็บมหาวิทยาลัย Stanford อย่างด่วนให้พิมพ์ Stanford แล้วกด I'm Feeling Lucky หรือ ใช่เลย! เจอแน่ๆ ใน Google ไทย

14.Google
สามารถหาแผนที่ของสหรัฐอเมริกาได้โดยพิมพ์ ที่อยู่ ชื่อถนน พร้อมด้วยชื่อรัฐ เช่น 165 University Ave Palo Alto CA Google จะจัดการส่งแผนที่คุณภาพสูงมาให้คุณ

15.Google
สามารถหาเบอร์โทร (เฉพาะอเมริกา) หรือพิมพ์เบอร์โทรแล้วหาบริษัทได้โดยพิมพ์
first name (or first initial), last name, city (state is optional)
first name (or first initial), last name, state
first name (or first initial), last name, area code
first name (or first initial), last name, zip code
phone number, including area code
last name, city, state
last name, zip code
แล้วแต่ว่าคุณจะใช้แบบไหน

16.Google
สามารถค้นหา Catalog สินค้าได้ (เข้าไปที่ http://catalogs.google.com/)

17.Google
สามารถเก็บข้อมูลลักษณะการใช้ที่คุณต้องการได้โดยเข้าไปที่ Preferences หรือ ตัวเลือก ใน Google ไทย
ที่มา
http://th.wikipedia.org/wiki/เสิร์ชเอนจิน
http://www.vcharkarn.com/
http://www.mindphp.com/modules.php?name=News&file=article&sid=70
http://aprilmay.blog.mthai.com/2009/06/29/public-5

วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2554

แนวคิดในการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการเรียนรู้

การใช้เกมส์คอมพิวเตอร์ช่วยในการสอน
ลักษณะ
เป็นการนำเกมส์คอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับเนื่อหาการจัดการเรียนการสอนมาใช้ประกอบการสอนเพื่อเพิ่มความน่าสนใจในตัวบทเรียน
 วัตถุประสงค์  
  1. นักเรียนให้ความสนใจในบทเรียนมากขึ้น 
  2. บทเรียนมีความน่าสนใจกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้
  3. ทำให้นักเรียนมีทักษะทางคอมพิวเตอร์มากขึ้น
  4. เพิ่มผลสัมธิ์ทางการเรียนรู้

ตัวอย่างเกมคอมพิวเตอร์ที่น่าสนใจ
เถ้าแก่น้อย (เสริมทักษะทางคณิตศาสตร์)

English Adventure (เสริมทักษะทางภาษาอังกฤษ)


Fun Farm (เสริมทักษะทางคณิตศษสตร์และภาษาอังกฤษ)

วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Blog คือ ?

     บล็อก (อังกฤษ: blog) เป็นคำรวมมาจากคำว่า เว็บล็อก (อังกฤษ: weblog) เป็นรูปแบบเว็บไซต์ประเภท หนึ่ง ซึ่งถูกเขียนขึ้นในลำดับที่เรียงตามเวลาในการเขียน ซึ่งจะแสดงข้อมูลที่เขียนล่าสุดไว้แรกสุด บล็อกโดยปกติจะประกอบด้วย ข้อความ ภาพ ลิงก์ ซึ่งบางครั้งจะรวมสื่อต่างๆ ไม่ว่า เพลง หรือวิดีโอใน หลายรูปแบบได้ จุดที่แตกต่างของบล็อกกับเว็บไซต์โดยปกติคือ บล็อกจะเปิดให้ผู้เข้ามาอ่านข้อมูล สามารถแสดงความคิดเห็นต่อท้ายข้อความที่เจ้าของบล็อกเป็นคนเขียน ซึ่งทำให้ผู้เขียนสามารถได้ผลตอบกลับโดยทันที คำว่า "บล็อก" ยังใช้เป็นคำกริยาได้ซึ่งหมายถึง การเขียนบล็อก และนอกจากนี้ผู้ที่เขียนบล็อกเป็นอาชีพก็จะถูกเรียกว่า "บล็อกเกอร์"
     บล็อกเป็นเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาหลากหลายขึ้นอยู่กับเจ้าของบล็อก โดยสามารถใช้เป็นเครื่องมือสื่อสาร การประกาศข่าวสาร การแสดงความคิดเห็น การเผยแพร่ผลงาน ในหลายด้านไม่ว่า อาหาร การเมือง เทคโนโลยี หรือข่าวปัจจุบัน นอกจากนี้บล็อกที่ถูกเขียนเฉพาะเรื่องส่วนตัวหรือจะเรียกว่าไดอารีออนไลน์ ซึ่งไดอารีออนไลน์นี่เองเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้บล็อกในปัจจุบัน นอกจากนี้ตามบริษัทเอกชนหลายแห่งได้มีการจัดทำบล็อกของทางบริษัทขึ้น เพื่อเสนอแนวความเห็นใหม่ใหักับลูกค้า โดยมีการเขียนบล็อกออกมาในลักษณะเดียวกับข่าวสั้น และได้รับการตอบรับจากทางลูกค้าที่แสดงความเห็นตอบกลับเข้าไป เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์
เว็บค้นหาบล็อกเทคโนราที ได้อ้างไว้ว่าปัจจุบันในอินเทอร์เน็ต มีบล็อกมากกว่า 112 ล้านบล็อกทั่วโลก

ข้อดีของ blog
  1. ผู้เขียนบล็อกมีอิสระในการเขียนบทความที่ตนเองสนใจ
  2. ผู้เขียนบล็อกสามารถตกแต่ง จัดการ บล็อกของตนเองได้ตามใจชอบ
  3. เกิดการแลกเปลี่ยนบทความ ข่าวสาร ต่างๆ
  4. เป็นเครื่องมือในการกระจายข่าวสาร ประชาสัมพันธ์ข้อมูล
  5. เป็นไดอารีประจำวัน
  6. เปิดโอกาสให้ผู้คนได้แสดงความคิดเห็น
  7. ขยายโอกาสในการทำธุรกิจ
  8. ไม่เสียค่าใช้จ่าย ทำให้ทุกคนมีโอกาสที่จะทำบล็อกได้
  9. เป็นคลังข้อมูลความรู้
  10. เป็นที่รวมกลุ่มของสังคนออนไลน์
ข้อเสียของ Blog
  1. ข้อมูลที่ถูกเพยแพร่ไม่มีการตรวจสอบ จึงอาจเป็นข้อมูลเท็จ หรือเข้าข่ายผิดกฎหมายได้
  2. ผู้ให้บริการบล็อกไม่สามารถเข้าไปควบคุมการสร้างบล็อกได้ จึงอาจมีการนำบล็อกไปใช้ในทางผิดกฎหมาย
  3. เนื้อหาในบล็อกไม่สามารถเชื่อถือได้ 100% และส่วนมากไม่มีแหล่งที่มาระบุไว้ จึงไม่สามารถใช้อ้างอิงได้
  4. เปิดโอกาสให้ผู้ไม่หวังดีเข้ามาก่อกวน หรือสร้างความรำคาญ
  5. เนื่องจากบล็อกเปิดโอกาศให้ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระจึงอาจเกิดการขัดแย้งกันได้
ผู้ให้บริการบล็อก
  1. Bloger (กูเกิล)
  2. ไทป์แพด
  3. เวิร์ดเพรสส์
  4. ยาฮู! 360? หรือ ยาฮู!เดย์ (ยาฮู!)
  5. วินโดวส์ไลฟ์ สเปซเซส (ไมโครซอฟท์)
  6. มายสเปซ
  7. มัลติไพล
ผู้ให้บริการบล็อกในประเทศไทย
  1. Blognone บล็อกสำหรับเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับเทคโนโลยีและข่าวไอทีอย่างเดียว
  2. Exteen เอ็กซ์ทีน
  3. GotoKnow
  4. Bloggoo
  5. learners.in.th
  6. Bloggang บล็อกแก๊ง
  7. oknation โอเคเนชั่น
  8. kapook.com
  9. sanook.com
ที่มา
http://th.wikipedia.org/wiki/บล็อก

วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

สื่อหลายมิติ Hypermedia

- (yupapornintreewon017.page : 14/06/2554)
สื่อหลายมิติ (Hypermedia)  มีนักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายและลักษณะของสื่อหลายมิติไว้ดังนี้
    น้ำทิพย์    วิภาวิน    (2542:53) กล่าวไว้ว่า สื่อหลายมิติ (Hypermedia) เป็นเทคนิคที่ต้องการใช้สื่อผสมอื่น ๆ ที่คอมพิวเตอร์สามารถนำเสนอได้ในรูปแบบต่าง ๆ ได้ทั้งข้อความ เสียง ภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว
    วิเศษศักดิ์     โคตรอาชา   (2542:53)  กล่าว ว่า สื่อหลายมิติ Hypermedia เป็นการขยายแนวความคิดจาก Hypertext อันเป็นผลมาจากพัฒนาการของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่สามารถผสมผสานสื่อและ อุปกรณ์หลายอย่างให้ทำงานไปด้วยกัน
    กิดานันท์    มลิทอง  (2540:269) กล่าวไว้ว่า สื่อหลายมิติ เป็นการขยายแนวความคิดของข้อความหลายมิติในเรื่องของการเสนอข้อมูลในลักษณะ ไม่เป็นเส้นตรง และเพิ่มความสามารถในการบรรจุข้อมูลในลักษณะของภาพเคลื่อนไหวแบบวีดิทัศน์ ภาพกราฟิคในลักษณะภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ภาพถ่าย เสียงพูด เสียงดนตรี เข้าไว้ในเนื้อหาด้วย เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงเนื้อหาเรื่องราวได้หลายรูปแบบมากกว่าเดิม
    สื่อหลายมิติในการเรียนการสอน
                        การนำเสนอเนื้อหาแบบข้อความหลายมิติและสื่อหลายมิติเป็นการนำเสนอเนื้อหาใน ลักษณะของกรอบความคิดแบบใยแมงมุม ซึ่งเป็นกรอบความคิดที่เชื่อว่าจะมีลักษณะ ที่คล้ายคลึงกับวิธีที่มนุษย์จัดระบบความคิดภายในจิต ดังนั้น ข้อความหลาย มิติและสื่อหลายมิติจึงทำให้สามารถคัดลอกและจำลองเครือข่ายโยงใยความจำของ มนุษย์ได้ การใช้ข้อความหลายมิติและสื่อหลายมิติในการเรียนการสอนจึงช่วยให้ ผู้เรียนเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น
- (pongpipath.multiply.com : 14/06/2554)
การนำสื่อหลายมิติมาใช้ในการเรียนการสอน
          มี การนำสื่อหลายมิติเข้ามาใช้ในการเรียนการสอนในรูปของบทเรียนหลายมิติขึ้น โดยการ ผลิตเนื้อหาหรือเรื่องราวต่าง ๆ ที่จะใช้สอนในลักษณะสื่อหลายมิติ โดยการใช้ภาพถ่าย ภาพเคลื่อน ไหว และเสียงต่าง ๆ บรรจุลงไปในบทเรียนหลายมิติ ผู้เรียนสามารถมี ปฏิสัมพันธ์กับบทเรียนโดย การเลือกเรียนเนื้อหาตามลำดับที่ตนต้องการที่โรงเรียนฟอเรศต์ฮิลล์ เมืองแกรนด์ แรพิดส์ สหรัฐ อเมริกา ได้จัดทำลทเรียนสื่อหลายมิติ โดยครูและนักเรียนร่วมกันสร้างบทเรียนเกี่ยวกับการถูก ทำลายของป่าฝนในเขตร้อน โดยการค้นคว้าเนื้อหาจากห้องสมุด แล้ว รวบรวมภาพถ่ายภาพเคลื่อน ไหลต่าง ๆ มาเป็นข้อมูลแล้วทำการสร้างเป็นบทเรียนโดยใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ช่วย
ประโยชน์และลักษณะของบทเรียนหลายมิติ
          การเรียนบทเรียนที่มีลักษณะสื่อหลายมิติผู้เรียนสามารถเรียนรู้ข้อมูลจากบทเรียนได้หลายประเภทดังนี้
1.เรียกดูความหมายของคำศัพท์
2. ขยายความเข้าใจเนื้อหาโดย ดูแผนภาพ หรือภาพวาด ภาพถ่าย หรือฟังคำอธิบายหรือฟังเสียง ดนตรี เป็นต้น
3. ใช้สมุดบันทึกที่มี อยู่ในโปรแกรมบันทึกใจความสำคัญ
4. ใช้เครื่องมือวาดภาพในโปรแกรมวาดแผนที่มโนทัศน์ของตน
5. สามารถเชื่อมโยงข้อมูล ต่าง ๆ ที่สนใจมาอ่านได้โดยสะดวก
6. ใช้แผนที่ระบบดูว่าขณะนี้กำลังเรียนอยู่ส่วนใดของบทเรียน
- (school.obec.go.th : 14/06/2554)
การผลิตสื่อหลายมิติ
การ จัดทำสื่อหลายมิติ จัดทำโดยใช้กระบวนการของสื่อประสมในการผลิตเรื่องราวและบท เรียนต่าง ๆ ในรูปลักษณะและวิธีการของข้อความหลายมิติ นั่นเอง โดยการใช้คอมพิวเตอร์เป็นศูนย์ กลางการเขียนเรื่องราว ซึ่งมีโปรแกรมที่นิยมใช้ หลายโปรแกรมแต่ที่รู้จักกันดี เช่น ToolBook AuthorWare Dreamweaver PowerPoint เป็นต้น
สรุป
สื่อหลายมิติคือ การนำสื่อหลายๆประเภทเข้ามารวมและนำเสนอออกมาพร้อมๆอาจจะเป็นในรูปของ
วีดีทัศน์ เสียงเพลง โดยมีคอมพิวเตอร์เป็นตัวกลางในการนำเสนอ

ที่มา
http://yupapornintreewon017.page/ : เข้าถึงเมื่อ 14/06/2554
http://pongpipath.multiply.com/ : เข้าถึงเมื่อ 14/06/2554
http://school.obec.go.th/ : เข้าถึงเมื่อ 14/06/2554